
ดาวพฤหัสบดี เป็นตัวแทนของความโชคดี ทั้งยศศักดิ์, โชคลาภ, สุขภาพ, การก่อร่างขยายขอบเขตของอาณาจักร, การศึกษาและสติปัญญาในเชิงเหตุผล เป็นต้น

คำว่า “ไท่ส่วย” ของนักโหราศาสตร์ของจีนโบราณ เทียบได้กับ ดาวพฤหัสบดี
ไท่ส่วยนั้นมีพฤติกรรมหมุนเวียนไปสถิตราศีต่างๆ ปีละหนึ่งราศี ตั้งแต่ชวด – กุน เป็นระยะเวลา 12 ปี เช่นเดียวกับการโคจรของดาวพหัสบดีในปัจจุบัน ที่จะหมุนเวียนรอบพระอาทิตย์ครบ 1 รอบจักรราศี แต่เพราะเทคโนโลยีการคำนวนและเครื่องมือในสมัยโบราณมีข้อจำกัด จึงใช้ค่าตำแหน่งของดาวพฤหัสบดี ว่า 1 รอบปีปฏิทินสุริยคติ เป็น 1 ราศีไปเลย

นอกจากนั้น ทรรศนะคติของจีนยังมีความสัมพันธ์กับดาวศุกร์ (VENUS) เช่นเดียวกับ ปฏิทินของชาวเผ่ามายา โดยลักษณะการโคจรที่เรียกว่า Pentagram of Venus (ลักษณะเส้นโคจรที่ดูเสมือนกลีบดอกไม้ 5 กลีบ) ซึ่งมีความสันพันธ์กับ 5 ธาตุของโหราศาสตร์จีน อ่านต่อ https://en.wikipedia.org/wiki/Pentagram#Pentagram_of_Venus

12 ราศี ราศีละ 5 รอบ จึงรวมกันได้ 60 ปี ทางจีนเรียก กะจื้อ 60 นักกษัตร, 60 มังกร ใช้ในการทำนายทายทัก และนำไปใช้ในภูมิพยากรณ์ทางฮวงจุ้ยด้วย โดยหากชัยภูมิใดหันหน้าไปหรือหลังผิงไว้ หรือสัมพันธ์ซาฮะ 60°, 120° กับปีที่ดาวพฤหัสบดีในกะจื้อสถิต จะได้รับประโยชน์ โชคลาภ ความสำเร็จ ในช่วงปี เดือน และวันที่สอดคล้องนั้น
ค่าประมาณการณ์ในสมัยโบราณ
เครื่องมือการคำนวนในสมัยโบราณไม่สามารถเทียบได้กับเทคโนโลยีในปัจจุบัน ฉะนั้นนักโหราศาสตร์ดวงดาวสมัยโบราณจึงใช้ค่าอนุโลม หรือค่าประมาณการณ์
ค่าประมาณการณ์ของโหราศาสตร์สายหลักสมัยโบราณ คือ 30° เราจะพบระยะ 30° นี้ในโหราศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้แผ่นจานทรงกลม (ซึ่งโดยมากเป็น 2 มิติ) อาทิ โหราศาสตร์ 2 ส่วน, 4 ส่วน, 8 ราศี, 12 ราศี, 13 ราศี, 22 ส่วน, 24 ส่วน, 36 ส่วน, 108 ส่วน, 360 ส่วน, 720 ส่วน เป็นต้น
โดยส่วนของการแบ่งที่เท่าๆกันนี้ จะปรากฏในวิชาโหราศาสตร์ภาคดวงดาว, ปฏิทิน, และฮวงจุ้ย ซึ่งนักโหราศาสตร์ภาคคำนวนที่เป็นนักคิด (think tank) ต้องมีความเข้าใจ เพื่อคำนวนด้วยเทคนิคทางคณิตศาสตร์ อันนำไปสู่การกำหนดขอบเขตของเส้นแบ่ง อันใช้อธิบายกำลังของฤดูกาล หรือเหตุการณ์ เช่น การกำหนดเดือนต่างๆในปฏิทิน เป็นต้น
ตัวอย่าง ปฏิทินของชนเผ่ามายา ใน 1 รอบ จะมี 20 ส่วน และ 19 ส่วน เป็นต้น (อ่านต่อ https://en.wikipedia.org/wiki/Maya_calendar)
ตำแหน่งที่แท้จริงของดาวพฤหัสบดี
นักโหราศาสตร์ที่ใส่ใจต้องเลือกปฏิทินดาราศาสตร์ฟ้าจริงที่มีความแม่นยำถูกต้องในระดับฟิลิปดา ซึ่งในสมัยปัจจุบันค่าตัวเลขที่หาได้มีความแม่นยำสูง สามารถนำไปใช้ปฏิบัติการด้านโหราศาสตร์ได้ทันที
ตัวอย่างปฏิทินดาราศาสตร์
- Stellarium Astronomy Software (https://stellarium.org)
- ปฏิทินตำแหน่งดวงดาว 30,392 ปี ของ Swiss Ephemeris ที่ความแม่นยำสูงระดับ 0.001 arcseconds (https://ekhora.com/2021/09/27/เอกโหรา-รู้จักปฏิทินตำ/)
การใช้งานดาวพฤหัสบดีในดวงกำเนิด

เนื่องจากโหราศาสตร์เป็นการอุปมาอุปไมยเหตุการณ์ที่สอดคล้องกับความหมายในขอบเขตที่มีหลักการและวิธีคิดคำนวน เราใช้
- 0°00′ ของราศีเมษ แทนทิศตะวันออก (เจิ้ง)
- 0°00′ ของราศีกรกฏ แทนทิศเหนือ (จื้อ)
- 0°00′ ของราศีตุลย์ แทนทิศตะวันตก (ต๋วย)
- 0°00′ ของราศีมะกร แทนทิศใต้ (เตง)
เมื่อเทียบกับเข็มทิศในปัจจุบัน
- 0°00′ ของราศีเมษ เท่ากับ 270°
- 0°00′ ของราศีกรกฏ เท่ากับ 0°
- 0°00′ ของราศีตุลย์ เท่ากับ 90°
- 0°00′ ของราศีมะกร เท่ากับ 180°
เมื่อเทียบได้แล้ว ดาวพฤหัสบดีในดวงของภาพข้างต้น ที่ 29°16′ ราศีมีน จะมีค่าบนเข็มทิศปัจจุบัน เท่ากับ 359°16′
ในทางฮวงจุ้ยเราใช้ตำแหน่งนี้ แทน หัวเตียงนอน, พนังเก้าอี้ทำงาน, ทิศหลังบ้าน, หากเป็นการเดินทาง คือ เป็นทิศทางที่เจ้าชะตาควรมุ่งหน้าไป เป็นต้น
ในทางข้าวของเครื่องใช้ เราจะนำตำแหน่งนี้ไปสัมพันธ์กับราศี เรือนชะตาตามความหมายของโหราศาสตร์อินเดีย ยุโรป จีน อาหรับ และอื่นๆ เพื่อสร้างความหมายของข้าวของมงคลให้แก่เจ้าชะตาต่อไป
การใช้งานดาวพฤหัสบดีในดวงจรในเชิงสร้างสรรค์
การใช้งานในลักษณะนี้ เราเน้นหามุมที่มีความสัมพันธ์กับดวงชะตากำเนิด เช่น เจ้าชะตาวัยรุ่นที่สนใจเรื่องความรัก สอบถามว่าช่วงไหนเธอจะมีความรักที่ดีเข้ามา นักโหราศาสตร์ก็หาความสัมพันธ์ของมุมที่เหมาะสมด้านความรัก โดยอาจเลือกพิจารณาดาวศุกร์กำเนิดเทียบกับพฤหัสบดีที่จรเข้ามา โดยมีมุมสัมพันธ์เชิงสร้างสรรค์ อาทิ มุมโยค 60°, 120° และมุมกุม 0° เป็นหลัก


ภาคขยายความ
สาเหตุที่ดาวพฤหัสบดี ถูกแทนด้วย ไท่ส่วย
ในสมัยโบราณ เทคโนโลยีด้านวิทยาศาสตร์และเหตุผลเชิงประจักษ์ของเหตุการณ์ทางกายภาพยังมีไม่มากพอ คนสมัยนั้นไม่สามารถหาคำอธิบายปรากฏการณ์ทั้งดีและร้ายอันเกิดขึ้นได้ ฉะนั้นจึงมีความเชื่อในวิญญาณ โดยหากกลุ่มชนหรือชนเผ่าใดมีบ้านเมืองที่เข้มแข็งด้านทรัพยากรครบครัน ผีที่มีอำนาจตามความเชื่อของผู้นำชนเผ่าหรือกลุ่มชน ก็ถูกยกขึ้นเป็น “พระเจ้าของเผ่า”
จากปรากฏการณ์สู่ผีดลบันดาลและสู่เทพเจ้าในเวลาต่อมา
เมื่อถูกยกจากผีขึ้นมาเป็นพระเจ้าผู้สร้าง ผู้ทรง ผู้ดลบันดาล และผู้ทำลายแล้ว ก็เผยแพร่ความเชื่อนั้น ไปยังผู้คนต่างๆ จึงสร้างความหวาดกลัวในอำนาจของผีที่คนยกขึ้นเป็นพระเจ้า แข่งกันว่าพระเจ้า (ผี) ของใครมีอำนาจเหนือกว่ากันโดยพิจารณาจากความยิ่งใหญ่ของอาณาจักร
ในขอบเขตของเอกเชียตะวันออกสมัยโบราณ หลังจากชนชั้นชาวนาชื่อ หลิวปัง ซึ่งเข้าเป็นทหารเลวประจำหมู่บ้าน ในสมัยของรางวงศ์ฉิน กลุ่มของหลิวปังได้รวบรวมดินแดนต่อจากราชวงศ์ฉิน โดยเทคนิคเดิมๆ คือ เข่นฆ่าทำลายผู้คนและทรัพย์สินของคนต่างกลุ่ม และหลิวปังก็สร้างเป็นการปกครองโดยครอบครัวใหม่ ในนาม “ฮั่น”
ในสมัยของหลิวปัง ก็มีผีชนเผ่ามากมาย ทำให้สมัยของราชวงศ์ฮั่น มีพระเจ้ามากมายหลายองค์ ในนั้นก็มีนักโหราศาสตร์ที่ผูกดวงดาวบนฟ้าไว้กับความเชื่อแบบผีเพื่อกล่อมให้กลุ่มชนเชื่อโดยง่าย อันได้แก่ ไท่ส่วย (ดาวพฤหัสบดี) เป็นต้น
ในข้างของทวีปยุโรปสมัยโบราณ ก็ใช่ย่อย นำดาวบนฟ้าไปผูกกับผี เช่นสมัยของกรีก ก็ปรากฏ เทพอะพอลโล (ดวงอาทิตย์) ขึ้นมาให้กราบไหว้สักการะแล้ว
ข้างของอิยิปต์ มีเทพเจ้ารา แทนพระอาทิตย์ และเทพอื่นๆ มากมาย อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติ
ข้างของอินเดีย ของพราหมณ์ก็นำปรากฏการณ์ธรรมชาติ 3 ไตรลักษณ์ ผู้สร้าง, ผู้รักษา, ผู้ทำลาย เป็นเทพเจ้าแยกออกมาเป็นเรื่องๆ เช่นกัน
ข้างของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แถบลุ่มน้ำโขง ล้านนา ล้านช้าง ขอม ก็มีความเชื่อเรื่องผี ที่ผูกพันกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น ยามที่เกิดสุริยุปราคา คือ ราหูเข้าอมอาทิตย์ อมจันทร์ ต้องขับไล่ ราหูออกไป ราหูจึงเปลี่ยนจากปรากฏการณ์ของเงาตกกระทบเป็นเทพเจ้า, หรือยามที่ต้องการให้ฝนตกก็ร้องขอดลบันดาลจากเทพเจ้าในอากาศ เป็นต้น
สรุปว่า เทพเจ้าจำนวนมากเป็นการเชื่อมโยงกับปรากฏการณ์ในโลก เพื่ออธิบายสาเหตุของเหตุการณ์ แต่สร้างผลลัพธ์ด้านภาระการดูแลรักษา สักการะ ทั้งสร้างขวัญกำลังใจและความหวาดกลัวกับผู้คนไปด้วยในตัว แต่อย่างไรก็ตามความเชื่อในเชิงยกขึ้นเป็นเทพเจ้า จะสร้างชนชั้นนักบวชหรือผู้อุทิศตนให้เป็นผู้มีอำนาจชี้นำสังคมด้วย แม้จะถูกหรือผิดแบบในยุคล่าแม่มดของยุโรป, ยุคตัดคอคนไม่รับพระเจ้าในอินเดีย, หรือการกีดกันการเข้าถึงทรัพยากรเพราะเชื่อผีคนละตัวกัน เป็นต้น
You must be logged in to post a comment.